ภาค 2

ประมวลเอกสารจดหมายเหตุ

และราชกิจจานุเบกษา

.. 2411 2509

 

ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

คำชี้แจง ภาค 2

ภาค 2 เป็นการประมวลเอกสารจดหมายเหตุแห่งชาติและประกาศราชกิจจานุเบกษาตามลำดับวัน/เดือน/ปีที่ปรับเป็นปัจจุบันทั้งหมด เกี่ยวกับราชการด้านการแพทย์ การสาธารณสุขและเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกี่ยวข้อง โดยคัดความโดยย่อจากเอกสารจดหมายเหตุและราชกิจจา-นุเบกษา มีส่วนที่ควรทำความเข้าใจดังนี้

1. เอกสารจดหมายเหตุ

เอกสารจดหมายเหตุที่เก็บรักษาอยู่ที่สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ คือ เอกสารว่าราชการของพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และกระทรวงต่าง ๆ จัดเป็นเอกสารชั้นต้นเช่นเดียวกับประกาศราชกิจจานุเบกษา แต่เดิมกรมพระอาลักษณ์ทำหน้าที่เก็บเอกสารหลวง จนกระทั่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานเก็บรักษาเอกสารราชการเหล่านี้ไว้ให้เป็น Archive (เอกสารจดหมายเหตุ) เช่นเดียวกับในต่างประเทศ จึงมีการจัดเก็บเอกสารตามแบบประเทศตะวันตก เอกสารว่าราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 ทั้งหมดจึงถูกเก็บรักษาไว้ แต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมายาวนาน อาจทำให้ชำรุดและสูญหายไป แต่เอกสารที่เหลืออยู่มีจำนวนมากพอที่จะแสดงลำดับเหตุการณ์ในอดีตได้เกือบสมบูรณ์

ในส่วนของเอกสารที่เกี่ยวกับหนังสือกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์นั้น จัดเก็บโดยกรมราชเลขานุการ ซึ่งก่อตั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระยะแรกเรียกว่า ออฟฟิศไปรเวตสิเกรตารีหลวง หรือกรมราชเลขาธิการ เพื่อทำหน้าที่เกี่ยวกับการเลขานุการในพระองค์ งานหนังสือที่หน่วยงานราชการและบุคคลส่งเข้ามา เพื่อขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลในเรื่องต่าง ๆ แล้วแต่กรณี รวมทั้งรับพระราชกระแส พระราชวินิจฉัยเพื่อเชิญไปยังหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ลักษณะของการทำงานภายในกรมราชเลขานุการนั้น หลวงสุนทรนุรักษ์ (กระจ่าง วรรณโกวิท) บันทึก ความทรงจำเมื่อครั้งรับราชการภายในกรมราชเลขานุการ เมื่อ พ.. 2451 ว่า

...กรมราชเลขานุการเป็นกรมอิสระตั้งอยู่บนพระปรัศวร์ซ้ายของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อได้ทรงสร้างพระราชวังดุสิตและประทับอยู่ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน จึงได้แยกมาตั้งที่ทำงานที่ท้ายพระที่นั่งอภิเศกดุสิต พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ทรงเป็นราชเลขานุการ เทียบเท่าเสนาบดีเจ้ากระทรวง มีผู้ช่วยราชเลขาอีก 3 คน บิดาข้าพเจ้าเป็นผู้ช่วยด้วยคนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ต้องมีอยู่ประจำตลอด 24 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นเวร เวรเช้าเวรบ่าย เวรกลางคืน และอยู่นอกเวร...ราชการกรมนี้เป็นที่รวมบรรดาราชการทุกกระทรวงกรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 

449 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

เทียบเท่ากับเป็นนายกรัฐมนตรี มีพระราชภาระที่ต้องพระราชวินิจฉัยบรรดาหนังสือราชการที่มีมาถึง ต้องนำขึ้นกราบบังคมทูลทั้งสิ้น หนังสือที่มีมาจากเจ้ากระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ นั้น เจ้าหน้าที่จะเปิดซอง แล้วย่อข้อความในหนังสือนั้นบนหัวซองด้วยดินสอ เว้นแต่หนังสือซองเล็กหรือเฉพาะก็ส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ทั้งซอง มีเจ้าหน้าที่อีกพวกหนึ่งจะนำข้อความที่ย่อหัวซองไปพิมพ์ในกระดาษพิมพ์เป็นกระทรวง ๆ เว้นหน้ากระดาษประมาณ 4 นิ้ว (ฟุตโน้ต) ส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อพระราชทานกลับออกมา เรื่องใดมีพระราชกระแสอย่างไรก็ทรงมาในฟุตโน้ตสั้น ๆ เช่น ของพระราชทานอะไรต่าง ๆ ก็จะทรงมาว่าให้อนุ. นอกจากนั้นก็จะมีพระราชกระแสในราชการบางอย่างทรงร่างมา เจ้าหน้าที่ก็ตัดเอาพระราชกระแสไปปิดในต้นฉบับหนังสือนั้น ๆ แล้วทำตอบไปยังเจ้ากระทรวงที่มีมา ต้นฉบับหนังสือเหล่านี้ รวบรวมกลัดเป็นปึกไว้ส่วนหนึ่ง เรียกว่า หนังสือรายวัน...

การส่งหนังสือออกไปจากกรมนี้ แบ่งออกเป็น 2 อย่าง เรียกว่า ร. อย่างหนึ่ง เป็นพระราชหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หัว จะต้องเขียนลงกระดาษไม่มีบรรทัดด้วยหมึกก๊อบปี้ อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ส. คือเป็นหนังสือของกรมพระสมมตฯ ใช้พิมพ์ดีด หนังสือทั้ง 2 อย่างนี้ เมื่อได้ลงพระปรมาภิไธยและทรงเซ็นแล้ว เจ้าหน้าที่ต้องนำไปอัดในสมุดก๊อบปี้เป็นสำเนาไว้...(1)

.. 2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เอกสารราชการเหล่านี้ได้ถูกคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศนำไปเก็บไว้ ต่อมา พ.. 2495 รัฐบาลจัดตั้งกองจดหมายเหตุ กรมศิลปากรขึ้นมาใหม่ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงได้มอบเอกสารทั้งหมดให้กับกองจดหมายเหตุฯ ในระยะแรก พ.. 2495 - 2519 กองจดหมายเหตุมีสถานที่ทำการอยู่ที่ตึกถาวรวัตถุ ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

เนื่องจากเอกสารที่ได้รับมอบมีจำนวนมหาศาล ระหว่าง พ.. 2495 - 2519 อยู่ในระหว่างการจัดหมวดหมู่เอกสารและการจัดทำบัญชีสืบค้น จึงไม่ได้ให้บริการแก่บุคคลทั่วไป จนกระทั่งปี พ.. 2519 ได้ย้ายที่ทำการใหม่มาอยู่ที่บริเวณหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี การจัดทำบัญชีสืบค้น จัดหมวดหมู่เอกสาร และจัดทำเป็นไมโครฟิล์มเสร็จสิ้นเป็นบางส่วน จึงทยอยเปิดให้บริการสืบค้นแก่ประชาชนตั้งแต่ พ.. 2519 เป็นต้นมา และจัดทำบัญชีสืบค้นเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.. 2530 จึงสามารถให้บริการเอกสารทั้งหมด เอกสารจดหมายเหตุแห่งชาติถือเป็นเอกสารสำคัญยิ่งของประเทศและมีกฎหมายกำกับดูแล คือพระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ พ.. 2556

ในการสืบค้นครั้งนี้ ค้นพบเอกสารที่สำคัญยิ่งคือ เอกสารหนังสือกราบบังคมทูลซึ่งเป็นเอกสารว่าราชการแผ่นดินระหว่าง พ.. 2427 - 2433 จัดเก็บในรูปแบบไมโครฟิล์มราว 80 ม้วน ที่ไม่มีบัญชีชื่อเรื่องและไม่มีผู้ขอสืบค้นมาก่อน แต่ละม้วนเป็นสำเนาหนังสือกราบบังคมทูลในเรื่อง

 

450 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

ต่าง ๆ ประมาณ 500 - 1,000 หน้า รวมเป็นเอกสารว่าราชการแผ่นดินในสมัยตอนต้นรัชกาลที่ 5 จำนวนหลายหมื่นหน้า และเป็นเอกสารสำคัญในช่วงของการปฏิรูประบบราชการแผ่นดินครั้งใหญ่ ทำให้สามารถอธิบายกำเนิดของระบบการแพทย์และสาธารณสุขแบบตะวันตกได้ครบสมบูรณ์ รวมทั้งอธิบายการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินด้านต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง นับเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในการศึกษาค้นคว้าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อไป อันแสดงถึงพระปรีชาสามารถอย่างหาที่สุดมิได้ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงสนพระทัยและตัดสินพระทัยในการดำเนินการ

2. ราชกิจจานุเบกษา

ส่วนราชกิจจานุเบกษานั้น เป็นประกาศของทางราชการเมื่อการว่าราชการที่แต่เดิมเป็นเรื่องภายใน ดำเนินมาจนถึงจุดสำคัญที่จะต้องประกาศให้ชาวไทยและชาวต่างประเทศรับทราบอย่างเป็นทางการ พลตรี หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของไทย กล่าวไว้ในคำนำหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยสำนักพิมพ์ต้นฉบับ เมื่อ พ.. 2540 ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้หนังสือราชกิจจานุเบกษาเป็นสื่อที่สำคัญอย่างหนึ่งในการแจ้งวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาและปฏิรูปราชการบ้านเมืองของพระองค์ ตลอดจนรายงานการปฏิบัติงานของทางราชการให้ประชาชนและชาวต่างประเทศได้รับรู้ เพื่อที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แก่ทางราชการ เกิดภาพลักษณ์ที่ถูกต้องแก่ประเทศไทย มีความเข้าใจในพระองค์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ราชกิจจานุเบกษานั้น ยังเป็นแหล่งค้นคว้าเรื่องราวในทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ และถูกต้องที่สุด

3. ข้อจำกัดของเอกสาร

การชำระเอกสารจดหมายเหตุครั้งนี้มีข้อจำกัดหลายประการ เช่น

1. เป็นการชำระและคัดเลือกเอกสารจดหมายเหตุแห่งชาติและราชกิจจานุเบกษามาใช้เพียงบางส่วน เนื่องจากเอกสารชั้นต้นมีจำนวนมหาศาล

2. เป็นการคัดลอกข้อความสำคัญบางส่วน เนื่องจากต้องการย่อรวมเอกสารทั้งหมดไว้ในหนังสือเล่มเดียว ทำให้ผู้อ่านไม่เห็นข้อความทั้งหมด อาจเกิดความเข้าใจไม่สมบูรณ์หรือตกหล่นข้อความที่น่าสนใจอื่น ๆ

3. เอกสารจดหมายเหตุแห่งชาติในสมัยรัชกาลที่ 9 ยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เก็บเอกสารจดหมายเหตุสิ้นสุดราว พ.. 2510ซึ่งเอกสารจดหมายเหตุในสมัยรัชกาลที่ 9 จะเก็บรักษาอยู่ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและยังเก็บไว้ตามหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เก็บเอกสารไว้ในหน่วยงานตนเอง จึงยากต่อการสืบค้นในเวลานี้ อีกทั้งตลอดระยะเวลาทรงครองราชย์กว่า 70 ปีของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรนั้น ทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข

 

451 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

จำนวนมากและครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ จึงเป็นชุดเอกสารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่จะต้องรวบรวมชำระเรียบเรียงแยกไว้ต่างหากในโอกาสอันเหมาะสมถัดไป

4. วิธีการอ่าน

การอ่านประมวลเอกสารในหมวดนี้ ควรอ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปทีละเหตุการณ์ตามลำดับ วัน/เดือน/ปี ซึ่งผู้เขียนได้จัดเรียงลำดับไว้แล้ว เปรียบเสมือนการติดตามการบริหารราชการแผ่นดินที่ดำเนินไปในแต่ละปี ซึ่งมีเรื่องราวสำคัญต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ทำให้การว่าราชการในบางปีเป็นไปอย่างรวดเร็ว บางปีล่าช้า นอกจากนี้ทำให้ทราบสภาพปัญหา ที่ชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบราชการในลำดับต่อมา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก ทำให้ทราบวิธีการแก้ไขปัญหาราชการในอดีต และพระปรีชาสามารถอย่างหาที่สุดมิได้ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทรงปฏิรูปประเทศไทยให้ทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศได้อย่างไร และสภาพปัญหารุมเร้าในรัชสมัยของพระองค์ที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลต่างประเทศนั้น มีพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการจนเหตุการณ์ลุล่วงไปได้อย่างไร นับเป็นแนวทางที่พึงศึกษาเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง